เจดีย์บุญ...เจดีย์บาป...


เจดีย์พุทธคยา


เจดีย์บุญ
การสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรืออัฐิธาตุของบุคคลที่ควรบูชาได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ และพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นการสร้างมงคลอย่างสูงสุด เมื่อตายไปย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ย่อมได้ดวงตาเห็นธรรม และบรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย การมีส่วนร่วมสร้างพระเจดีย์จะมากหรือน้อย ถ้าทำด้วยความศรัทธาเลื่อมใส ก็ย่อมได้อานิสงค์มากมาย สุดที่จะพรรณา


เจดีย์(ไม่)บาปแต่ใครจะได้บาป
แต่ ถ้าการสร้างเจดีย์นั้นสร้างขึ้นบนที่ดินที่บุกรุกโดยมิชอบ คือสร้างทับทางสาธารณะประโยชน์ที่ชาวบ้านใช้เป็นเส้นทางคมนาคมตั้งแต่สมัยโบ ร่ำโบราณ จนเกิดความเดือดร้อนเพราะไม่มีถนนที่ใช้เดินทางดังเดิม และได้เกิดกรณีพิพาท จนถึงขั้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล จนคดีความถึงที่สุดชั้นศาลฎีกา เมื่อปี๒๕๔๐ ศาลฏีกาพิพากษาว่าให้จำเลยเปิดทางสาธารณะเพราะบุกรุกและปิดทางสาธารณะจริง ซึ่งในปัจจุบันทางสาธารณะตามคำพิพากษาของศาล ยังไม่มีการเปิดทางสาธารณะแต่อย่างใด แต่กลับเพิกเฉยและก็ยังดื้อแพ่ง (ศาลฏีกาพิพากษาปี๒๕๔๐ปัจจุบันปี๒๕๕๖)จนเจ้าหน้าที่บังคับคดีมาทำการปิด ประกาศและรื้อถอน แต่กลับถูกฟ้องร้อง ขึ้นศาล ซึ่งเป็นอีกคดีหนึ่ง ว่าบุกรุกและทำลายทรัพย์สิน จนคดีถึงชั้นศาลอุทธรณ์ ศาลจึงได้สั่งยกฟ้อง
ใน ปัจุบันนี้ก็ยังสร้างเจดีย์ดังกล่าวกันต่อไป จึงมีคำถามต่างๆเกิดขึ้นมากมายว่า

“คนไหว้ คนสร้างใครจะได้บุญ ใครจะได้บาป”



ภาพกำลังก่อสร้างเจดีย์


แผนที่จากสำเนาโฉนดที่ดิน มีเส้นทางสาธารณะประโยชน์



ภาพถ่ายทางอากาศจากดาวเทียม มีถนนที่เป็นเส้นทางสาธารณะอยู่


น.ส.๓ แปลงที่ติดกับทางสาธารณะประโยชน์











โฉนดที่ดินฉบับใหม่ ออกให้โดยสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี


"ไม่ รู้ว่าทำไปได้อย่างไร ? เมื่อที่ดินเดิมแต่ละแปลงมีทางสาธารณะคั่นกลางอยู่ แต่สำนักงานที่ดิน ออกโฉนดทับทางสาธารณะได้อย่างไร? ใครทราบช่วยบอกมาให้ทราบด้วยครับ?"
หรือว่าท่านอธิบดีกรมที่ดินจะสนใจตอบคำถามนี้ให้ประชาชนทั่วไปหายสงสัย


หลวงปู่โต๊ะ...กับชีวิตของผม



๑. ปลอดภัย

       ประมาณ ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา วันหนึ่ง ณ ที่ทำงานของผม เป็นช่วงที่มีงานล่วงเวลาต้องปฏิบัติ ตอนนั้นเป็นช่วงหัวค่ำ ผมและเพื่อนร่วมงานรู้สึกหิว ผมรับอาสาเดินไปหาซื้ออาหารและเครื่องดื่มในซอยข้าง ๆ สำนักงาน สั่งอาหารเสร็จผมก็สั่งเครื่องดื่มซึ่งต้องซื้อไปเผื่อเพื่อนร่วมงานด้วย ผมสั่งสไปรท์ขวดลิตร จำนวน ๑ ขวด พร้อมน้ำแข็งเปล่า เจ้าของร้านหยิบสไปรท์ขวดลิตร (ขวดแก้ว) ซึ่งไม่ได้แช่เย็น ออกมาจากลัง ๑ ขวด ส่งให้ผม ในระหว่างที่ผมกำลังเตรียมเงินจ่ายค่าอาหาร จังหวะนั้นผมไม่ทันมอง เจ้าของร้านก็ไม่ทันสังเกต แกส่งขวดให้ผมในขณะที่ผมยื่นมือไปรับ แต่แกปล่อยขวดก่อนที่ผมจะจับ ปรากฏว่าสไปร์ทขวดนั้นตกลงบนพื้นซีเมนต์ข้างเท้าขวาผม แตกดังโพล๊ะ ชนิดแตกติด ๆ ข้างเท้าเลย

      วันนั้นผมใส่รองเท้าแตะทิ้งรองเท้าหนังกับถุงเท้าไว้ในสำนักงานเพราะเป็น ช่วงทำงานล่วงเวลา เศษแก้วคม ๆ ใส ๆกระจายเกลื่อนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย น้ำสไปรท์เป็นฟองซ่าอยู่บนเท้าของผม แต่ไม่มีเศษแก้วชิ้นใดบาดเท้าผมเลยแม้แต่เล็กน้อย ไม่มีแผล ไม่มีรอยถลอกใด ๆ เพียงแปลกใจว่าทำไมน้ำสไปรท์มันถึงเย็นเจี๊ยบราวกับพึ่งออกมาจากตู้เย็น อย่างนั้น

๒. แคล้วคลาด

เมื่อประมาณ ๖ ปี ที่ผ่านมา ด้วยความเครียดสะสมจากการดำเนินชีวิต การงาน และสภาพแวดล้อมหลาย ๆ อย่างประกอบกัน จึงทำให้ผมกลายเป็นโรคชนิดหนึ่งซึ่งไม่ได้เกิดจากภาวะผิดปกติของร่างกาย แต่คุณหมอได้อธิบายให้ฟังว่าเกิดได้บ่อย ๆ กับมนุษย์เงินเดือนที่อยู่ในเมือง เป็นภาวะลัดวงจรทำให้เกิดอาการจิตใจตื่นตระหนกฉับพลันโดยไม่อาจควบคุมได้ เรียกว่า Panic Disorder ถือเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ที่เมื่อมีอาการแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคร้ายแรงแต่ไม่ใช่ คนที่เป็นเวลาเกิดอาการจะคล้าย ๆ คนเป็นโรคหัวใจ ใจสั่น หน้ามืด ทำอะไรต่อไม่ได้ และกลัวไปต่าง ๆ นา ๆ ระยะเวลาประมาณ ๑๐ - ๓๐นาที ต้องรีบไปพบหมอเพราะกลัวหัวใจวาย แต่พอตรวจร่างกายแล้วปกติ เมื่อฟังหมอวินิจฉัยแล้วว่าไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง เกือบทุกรายจะหายเองทันที ๕๐ % เมื่อกินยาตามคำสั่งของหมอ ก็จะควบคุมมันได้ในที่สุด

ก่อนหน้า นั้นผมไม่รู้ตัวว่าเป็น (ไม่เคยมีใครรู้ตัวว่าเป็น) มีวันหนึ่งผมเลิกงานขับรถกลับบ้านคนเดียวตามปกติ แล้วจู่ ๆ เกิดอาการแบบเฉียบพลันขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แต่ว่าแย่มาก ๆ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมขับรถอยู่เลนขวาสุด กำลังใช้ความเร็ว สิ่งที่ต้องทำด่วนที่สุดคือหาทางจอดข้างทางให้ได้ แต่รถทางเลนกลางและเลนซ้ายกำลังติดมาก ๆ (ถนนสามเลนมีเกาะกลาง) ผมมีความรู้สึกเหมือนจะหมดสติ แย่แล้ว ตายแน่ ๆ ประมาณนั้น หัวใจเต้นแรง เร็ว จนรู้สึกได้ชัดเจน เหงื่อแตกพลั่ก ๆ สิ่งที่ผมทำคือมือที่ไม่ได้จับพวงมาลัยกำพระที่คอไว้แน่นแล้วตะโกนออกมาในรถ "หลวงปู่ช่วยด้วย"

คงไม่มีคำไหนชัดเจนกว่าคำว่า "อัศจรรย์" จู่ ๆ รถทางเลนซ้ายก็เร่งความเร็วกันขึ้นไปติด ๆ และเกิดช่องว่างที่มองในกระจกหลังว่าไม่มีรถคันอื่นติดตามมาอีกเลย ผมหักพวงมาลัยผ่านสองเลนเข้าไหล่ทางทันที แล้วหักเลี้ยวต่อเข้าไปเมื่อเห็นว่ามีทางเข้า ไปจอดอยู่ในไซต์งานก่อสร้างแห่งหนึ่ง ผมดับเครื่องยนต์ เปิดกระจกด้านคนขับ ฟุบอยู่กับพวงมาลัย มือซ้ายยังกำพระแน่น คนงานในไซต์งานนั้นตกใจมากวิ่งเข้ามาดูแล้วถามว่าเป็นอะไร

คงไม่มี ใครเชื่อผมแน่ นอกจากคนงานที่เห็นผมในวันนั้น พอผมเงยหน้าขึ้น สูดหายใจยาว ๆ จากอากาศภายนอกรถแค่ครั้งเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ หายเป็นปลิดทิ้ง ผมส่งยิ้มให้คนงานกลุ่มนั้น แล้วบอกว่า ไม่เป็นไรพี่ มันวูบไปหน่อยนึง แล้วผมก็สตาร์ทเครื่องรถ ขับกลับบ้านได้ตามปกติ แล้วก็ไปหาหมอในวันรุ่งขึ้น ตรวจร่างกายโดยละเอียดจนพบว่าตัวเองเป็นอะไร แล้วก็รักษาต่อเนื่องมาจนอาการดีขึ้นในระดับหนึ่ง

หมอบอกผมว่า โรคที่เป็นนี้มันเป็นการลัดวงจรของระบบประสาท เหมือน ๆ กับคนที่เวลาตกใจมาก ๆ แล้วเป็นลม ซึ่งนั่นมันมีสิ่งเร้า มีเหตุการณ์จริงมากระตุ้น แต่ที่ผมเป็นนี่มันข้ามขั้นตอน คือไม่มีอะไรเป็นสิ่งเร้าหรือกระตุ้นเลย อยู่เฉย ๆ สมองก็ดันสั่งให้เป็นลม แต่ส่วนใหญ่จะไม่หมดสติ ซึ่งหากหมดสติระหว่างขับรถจะอันตรายมาก หมอบอกว่าไม่มีใครตายด้วยโรคนี้ แต่โรคนี้มักสอดคล้องกับอุบัติเหตุ ให้ระวัง แต่หมอบอกว่ามีเคล็ดที่ไม่ลับจะบอกในการรักษา คือการจัดเรียงระบบใหม่ เหมือนการทำ Defragment ในเครื่องคอมพิวเตอร์ นั่นคือการ

"ฝึกสมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน"

๓. ล้างหนี้

ต้น ปี ๒๕๕๒ เช้าวันหนึ่ง ผมได้รับข่าวไม่ดีกระทันหันจากน้องสาว ว่าจู่ ๆ แม่ก็เกิดอาการเส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน ตอนนั้นแม่ผมเดินทางไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัดคนเดียว แล้วเกิดอาการขึ้นมาโดยที่ไม่เคยมีอาการเตือนล่วงหน้ามาก่อน เนื่องจากเป็นเหตุฉุกเฉินและด้วยความหวังดี ญาติของแม่รีบพาส่งโรงพยาบาลในกลางดึก ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนในตัวจังหวัด

ผมติดรถของพี่ชายไปหาแม่ ตอนนั้นผมมีเงินสดติดตัวอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีเวลาคิดอะไร ต้องรีบไปให้เร็วที่สุด ไปถึงโรงพยาล หมอบอกว่าตอนนี้แม่ปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่อนุญาตให้เคลื่อนย้ายไปไหน การรักษาต้องเริ่มทันทีอย่างต่อเนื่อง ทิ้งไว้จะเป็นอันตราย ผมรับทราบและบอกหมอว่า เคลื่อนย้ายได้เมื่อไหร่ให้บอกด้วยจะพาแม่กลับมารักษาที่ กทม. โดยใช้สิทธิประกันสุขภาพ (๓๐ บาท) ระหว่างนั้นพี่ชายผมมีภาระกับครอบครัว เลยต้องขับรถกลับกรุงเทพก่อน

ผมอยู่กับแม่อีก ๓ คืน เทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านญาติกับโรงพยาบาล จนหมออนุญาตให้เคลื่อนย้ายเข้า กทม.ได้ โดยให้เหมารถพยาบาลของโรงพยาบาลวิ่งไปส่งให้ เมื่อประสานงานกับโรงพยาบาลในกรุงเทพตามสิทธิประกันสุขภาพที่จะรับช่วงต่อ แล้ว ก็เตรียมเดินทาง ผมก็เดินไปติดต่อชำระค่าใช้จ่ายกับโรงพยาบาลที่แม่พักอยู่ ๓ คืน

ค่ารักษาพยาบาลรวมค่าเหมารถพยาบาลเป็นเงิน แสนกว่าบาท !!! ผมอึ้งอยู่พักหนึ่ง ยังนับว่าโชคดีที่ได้พกบัตรเครดิตซึ่งไม่เคยคิดจะใช้ติดตัวมาด้วย ๓ ใบ ผมรูด ๓ ใบ เต็มวงเงิน บวกกับเงินสดที่ติดตัวไปก็เกือบไม่พอ แต่ยังไงผมก็ต้องพาแม่กลับ กทม. ก่อน เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง

พอกลับ มาถึง กทม. แม่ก็ได้รับการรักษาต่อเนื่อง โรงพยาบาลตามสิทธิประกันส่งตัวต่อไปยังสถาบันโรคทรวงอก แม่ได้รับการผ่าตัดทำบายพาสเส้นเลือดหัวใจ พักรักษาตัวจนอาการดีขึ้นตามลำดับ และสดชื่นแจ่มใสอยู่เป็นมิ่งขวัญร่มโพธิ์ร่มไทรของผมจนถึงปัจจุับัน

ผมก้มหน้าก้มตาผ่อนหนี้บัตรเครดิตไปเรื่อย ๆ มีมากผ่อนมาก มีน้อยผ่อนน้อย แต่ดอกเบี้ยมันทับถมจนดูเหมือนหนี้มันจะลดลงช้าเสียเหลือเกิน

ปกติ ผมไม่ค่อยได้เสี่ยงโชคซื้อลอตเตอรี่สักเท่าไหร่ จะซื้อก็เล็ก ๆ น้อย ๆ พอได้มีส่วนร่วม ไม่ซื้อเลยก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาถูกถ้ามีโชค แต่พวกใต้ดินนี่ไม่เคยสนใจเลย ปกติเคยถูกบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นพวกเลขท้าย พอได้ตื่นเต้นหายเหงา เวลามีโชคถูกเลขท้าย ผมมักจะแบ่งให้ภรรยาครึ่งหนึ่งเสมอ (ไม่ได้ถูกบังคับ แต่เต็มใจ)
๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ ระหว่างผมขับรถกลับบ้านกับภรรยา เปิดวิทยุฟังไปเรื่อย ๆ ก่อนถึงบ้านเสียงผู้ประกาศในวิทยุพูดปนเล่นมุขว่า เอ้า ! วันนี้ใครโชคดีถูกล็อตเตอรี่บ้าง วันนี้เลขท้ายสองตัวออก ๐๖

ผมละ มือจากพวงมาลัย ล้วงกระเป๋าเงินออกมา แล้วหยิบลอตเตอรี่ที่ซื้อไว้ ๒ คู่ (ซื้อแค่ ๒ คู่ แค่นั้นจริง ๆ) ออกมา เป็นหมายเลข ๗๙๖๙๐๖ แล้วอมยิ้มหันไปแหย่ภรรยาว่า เห็นมะว่าถูกล็อตเตอรี่ แบ่งให้ครึ่งหนึ่งตามเคย ฉันซื้อ แต่เธอได้ส่วนแบ่งทุกที ภรรยาผมก็หัวเราะ แล้วก็เดินทางกลับกันต่อ

อาบน้ำกินข้าวเสร็จผมก็มาเปิดคอมพิวเตอร์ ต่ออินเทอร์เน็ต ดูนั่นดูนี่ไปตามเรื่อง แล้วก็นึกถึงล็อตเตอรี่ขึ้นมาได้ ไหนขอดูให้ชื่นใจหน่อย พรุ่งนี้ค่อยไปขึ้นเงิน ๔,๐๐๐ บาท ผมเห็นเลขท้ายสองตัว ๐๖ เออ ถูกจริง ๆ ไหนลองดูรางวัลอื่นหน่อยเผื่อฟลุก

ไล่ สายตาผ่าน ๆ ไม่คิดอะไรก็ไปสะดุดกึ้ก ใช่ครับ ล็อตเตอรี่ในมือผมตรงกับรางวัลที่สาม ลำดับที่สิบ   จากมูลค่า ๔,๐๐๐ บาท กลายเป็น ๑๖๔,๐๐๐ บาท ไปในทันที

ผมนำเงินรางวัลที่ได้รับไปชำระ หนี้บัตรเครดิตจนหมดสิ้น และยังมีเงินเหลือพอที่จะทำบุญ (คงไม่ต้องบอกแล้วว่าทำที่วัดไหน) แบ่งให้แม่ไว้ใช้จ่าย ให้ลูกได้ของเล่นที่อยากได้ และเก็บเป็นทุนดำเนินชีวิตต่อไป

ยังไม่ จบครับ ผมไม่ได้โลภ ยังคงซื้อล็อตเตอรี่งวดละใบสองใบ (พอแค่มีส่วนร่วมเช่นเคย) เรื่อยมา ผมยังถูกรางวัลเลขท้ายอีกสองงวดถัดมา แบบงง ๆ คือวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๒ ถูกเลขท้ายสามตัวหมายเลข ๒๒๖ และวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ถูกเลขท้ายสองตัวหมายเลข ๘๕

หลังจากนั้นมาจนถึงวันนี้ ผมก็ยังไม่ถูกอีกเลย

กราบขอบพระคุณในเมตตาของหลวงปู่ที่ทำให้ผมชำระหนี้อันจำเป็นเพื่อกตเวทิตาคุณ ได้หมดสิ้น
โดย ศิษย์ปลายแถว



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น